ปี 2013 วารสารที่มีชื่อเสียงทางวิทยาศาสตร์ Science ได้กล่าวว่าภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของปีนั้น และในปี 2018 ก็มีการมอบรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยา/การแพทย์ให้กับ Professor James P. Allison จากสถาบันมะเร็ง MD Anderson ของสหรัฐอเมริกา และ Professor Tasuku Honjo จากมหาวิทยาลัยเกียวโตของญี่ปุ่น ที่ค้นพบแนวทางใหม่ในการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันโดยการปลด “เบรค” ของเม็ดเลือดขาว (checkpoint inhibitor) [1] เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ checkpoint inhibitor ได้ที่ https://bit.ly/2EQSxPP)
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว Professor Allison แสดงให้เห็นว่าการยับยั้ง CTLA-4 [2] (หนึ่งในวิธีการปลดเบรคของเซลล์เม็ดเลือดขาว) สามารถทำให้ก้อนมะเร็งในหนูทดลองมีขนาดเล็กลงได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น Professor Honjo ก็ได้ค้นพบ PD-1 pathway [3] (เบรคอีกอันหนึ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาว) ซึ่งทั้ง CTLA-4 และ PD-1 มีประโยชน์ต่อร่างกายในสภาวะปกติเพื่อป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อที่ปกติของร่างกาย แต่เมื่อเกิดมะเร็งขึ้น มะเร็งนำจุดนี้มาเป็นประโยชน์ให้กับตัวมันโดยการ “ปิดสวิทช์” เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่ให้ทำลายมะเร็ง
การค้นพบทั้งสองอย่างนี้นำไปสู่การพัฒนายาแอนติบอดีเพื่อปลดเบรคทั้งสองชนิดนี้ ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวกลับมาทำงานและทำลายเซลล์มะเร็งได้ และยากลุ่มนี้ก็ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้ในการรักษามะเร็งหลายโรค
แม้ยาเหล่านี้จะมีผลดีมากในการรักษามะเร็งแต่ก็ได้ผลเฉพาะมะเร็งบางชนิดและในผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะมะเร็งที่มีการกลายพันธ์สูงๆและมีเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกกระตุ้นให้ไปอยู่ในบริเวณก้อนมะเร็งอยู่แล้ว ได้แก่ มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma), มะเร็งปอด, มะเร็งไต, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น ขณะนี้นักวิจัยกำลังศึกษาเพิ่มเติมเพื่อค้นหาวิธีใช้ยาเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ลดผลข้างเคียงให้เหลือน้อยที่สุด และใช้รักษามะเร็งชนิดอื่นๆเพิ่มขึ้น
“ตัวชี้วัดทางชีวภาพ (Biomarker) เพื่อคาดเดาผลการรักษา”
ปัจจุบันมีการทดลองทางคลินิกเกือบ 2,000 งาน ที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับการปลดเบรคของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา มีหลายการทดลองใช้ทั้ง CTLA-4 และ PD-1/PD-L1 ร่วมกันซึ่งแม้ส่วนมากจะได้ผลดีกว่าการใช้ยาเพียงชนิดเดียว แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงมากขึ้น ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องมี biomarker [4] หรือตัวชี้วัดในการเลือกผู้ป่วยที่จะได้รับผลดีที่สุดจากยาแอนติบอดีทั้งแบบชนิดเดียวและแบบรวมกัน
Professor Padmanee Sharma, MD, PhD และสามีของเธอ (Professor Allison) จากสถาบันมะเร็ง MD Anderson ร่วมกันศึกษาตัวชี้วัดในการคัดเลือกผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาด้วยแอนติบอดีนี้ สมมติฐานของการทดลองนี้คือ มะเร็งที่มีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD8+ รุมล้อมอยู่มากหรืออาจจะเรียกว่าเป็น hot tumor จะตอบสนองต่อยาที่ไปยับยั้ง PD-1 เพียงอย่างเดียวได้ดี (เช่น pembrolizumab และ nivolumab) ในขณะที่มะเร็งที่มีเซลล์เม็ดเลือดขาว CD8+ รุมล้อมอยู่น้อย หรือเรียกว่า cold tumor จะตอบสนองได้น้อยกว่าและน่าจะต้องใช้ยาที่ไปยับยั้ง CTLA-4 ร่วมด้วย (เช่น ipilimumab) ผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามทุกชนิดจะได้รับการคัดเลือกเข้าในการทดลองนี้ โดยตัวชี้วัดนี้จะไม่ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ทีมงานวิจัยคาดว่ามะเร็งที่มักจะจัดว่าเป็นชนิด cold tumor เช่นมะเร็งตับอ่อน บางส่วนอาจจะมี CD8+ อยู่มากและสามารถตอบสนองต่อยาได้ดีก็ได้
Matthew Hellmann, MD, PhD จากสถาบันมะเร็ง Memorial Sloan Kettering กล่าวว่าตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งที่กำลังได้รับการประเมินจาก US FDA คือปริมาณการกลายพันธุ์ หรือที่เรียกว่า tumor mutational burden (TMB) [5] เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่มีการกลายพันธุ์มากขึ้นก็มีโอกาสที่จะสร้างนีโอแอนติเจนซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากเนื้อเยื่อปกติของร่างกายและกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เข้าไปจัดการกับก้อนมะเร็งได้ดีขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Hellmann และทีมของเขาได้แสดงให้เห็นว่ามะเร็งปอดชนิด NSCLC ที่มี TMB สูงจะตอบสนองต่อยา pembrolizumab (ยาที่ยับยั้ง PD-1) ได้ดี อีกตัวอย่างที่ดีคือ ในปี 2017 FDA รับรองการใช้ pembrolizumab ในมะเร็งชนิดใดก็ได้ที่มี microsatellite instability-high [6] ซึ่งเกิดจากการขาดยีนที่ช่วยซ่อมแซมการกลายพันธุ์ (mismatch repair gene) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ FDA รับรองการใช้ยาโดยดูแค่จากความผิดปกติของยีน แทนที่จะรับรองตามชนิดของอวัยวะที่เป็นต้นกำเนิดของมะเร็ง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มี biomarker ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับดูปริมาณการกลายพันธุ์
“การตรวจลำไส้”
ภายในลำไส้มีจุลชีพอยู่มากมายและอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตอบสนองของยาแอนติบอดี นักวิจัยกำลังสนใจการใช้จุลชีพเหล่านี้มาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเพื่อทำนายการตอบสนองต่อยาดังกล่าว
Jennifer Wargo, MD, MMSc จากศูนย์มะเร็ง MD Anderson กำลังริเริ่มงานวิจัยร่วมกับ Parker Institute และ Seres Therapeutics เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยคัดเลือกผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด melanoma ระยะลุกลาม โดยให้ยาเพื่อปรับเปลี่ยนจุลชีพในลำไส้ให้เหมือนกับจุลชีพจากลำไส้ของผู้ที่ตอบสนองได้ดีต่อแอนติบอดี เปรียบเทียบกับยาหลอกเป็นกลุ่มควบคุม หลังจากนั้นจึงให้ยา anti-PD-1 แก่ผู้ป่วยโดยหวังว่าการปรับเปลี่ยนจุลชีพจะทำให้การตอบสนองต่อยาดีขึ้น
นักวิจัยจะคอยติดตามจุลชีพในลำไส้ของผู้ที่เข้าร่วมการทดลองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่ายาจุลชีพที่ให้ไปมีผลทำให้จุลชีพในลำไส้ลักษณะเป็นไปตามที่ต้องการ นอกจากนี้ในอนาคตอาจมีการศึกษาที่ควบคุมอาหารของผู้ร่วมการทดลองเพื่อรักษาจุลชีพเหล่านี้ไว้ด้วยซึ่งคงต้องติดตามการศึกษานี้ต่อไปจนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ การศึกษานี้เป็นเพียงลำดับต้นๆ แต่มีความสำคัญอย่างมาก
“การทำลายขีดจำกัด”
James Gulley, MD, PhD จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า การที่ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาแอนติบอดีชนิดนี้ได้ จำเป็นที่จะต้องมีเซลล์เม็ดเลือดขาวเข้าไปรุมร้อมมันอยู่ และหากมันไม่ไปรุมร้อมแต่ต้องการผลการรักษาที่ดีก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีสักอย่างเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปรุมล้อมก้อนมะเร็งให้ได้ มะเร็งหลายชนิดหลบหลีกการรุมล้อมของเม็ดเลือดขาวและในปัจจุบันก็มีการศึกษาหลายๆอย่างเพื่อหาวิธีแก้ปัญหานี้อยู่
กำแพงอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาต่อการเข้ารุมล้อมมะเร็งโดยเม็ดเลือดขาวคือสารในร่างกายชื่อ TGF-beta [7] ซึ่งมีหน้าที่หลายอย่างในระบบภูมิคุ้มกันรวมถึงการกดการทำงานภูมิคุ้มกัน เพื่อแก้ปัญหานี้เขาได้ทำการสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อ M7824 ซึ่งเป็นยา
แอนติบอดีที่นำมาต่อกับโปรตีนที่สามารถเป็น “กับดัก” เพื่อจับและหยุดการทำงานของ TGF-beta โดยเขาทดสอบในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากซึ่งเป็นหนึ่งใน cold tumor และดื้อต่อการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด เป้าหมายของการศึกษาคือเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหลายๆจุดเพื่อเอาชนะการดื้อต่อภูมิคุ้มกันบำบัดของมะเร็ง
มีอีกการทดลองหนึ่งที่ใช้การกระตุ้น CD40 [8] เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อยาแอนติบอดี Robert Vonderheide, MD, DPhil ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็ง Abramson Cancer Center at Penn Medicine กล่าวว่าข้อมูลจากห้องปฏิบัติการของเขาและจากห้องปฏิบัติการอื่นๆแสดงให้เห็นว่า CD40 ทำหน้าที่เป็นสวิตช์เพื่อเปลี่ยน cold tumor ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยา ให้เป็น hot tumor ซึ่งทำให้ตอบสนองต่อยาได้เพิ่มขึ้นขณะนี้ Vonderheide ทำงานร่วมกับ Parker Institute เพื่อศึกษาว่ายากระตุ้น CD40 จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ยาแอนติบอดีในการรักษามะเร็งตับอ่อนที่ปกติแล้วไม่ตอบสนองต่อการรักษาได้หรือไม่ ผู้เข้าร่วมจะได้รับการแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มที่ได้ยากระตุ้น CD40 กลุ่มที่ได้ยา nivolumab และกลุ่มที่ได้รับทั้งคู่
นอกจากนี้ยังมีทดลองทางคลินิกที่ใช้ยากระตุ้น CD40 ร่วมกับ nivolumab ในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด melanoma ระยะลุกลาม และมะเร็งปอดในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาแอนติบอดี โดยมีความหวังว่าการบำบัดวิธีนี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันบำบัดได้แม้ในมะเร็งที่ดื้อยามาก
“มันเป็นหนึ่งในวิธีของเราเพื่อทำลายกำแพงที่เป็นขีดจำกัดความสามารถของภูมิคุ้มกันบำบัดนั่นเอง” Vonderheide กล่าว
“เร็วกว่าและปลอดภัยกว่า”
ขณะนี้เริ่มการศึกษาเพื่อใช้ยาแอนติบอดีในการปลดเบรคระบบภูมิคุ้มกันในมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ด้วยสมมติฐานว่ามะเร็งระยะแรกยังไม่พัฒนาไปถึงจุดที่มีระบบป้องกันตัวเองที่ดีจากระบบภูมิคุ้มกันทำให้น่าจะตอบสนองต่อยาแอนติบอดีได้ดีกว่า
Suzanne Topalian, MD จากสถาบันเพื่อภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง Bloomberg-Kimmel ของ Johns Hopkins School of Medicine ชี้ให้เห็นว่า nivolumab ได้รับการรับรองโดย FDA เมื่อปีก่อนในการใช้เป็นการรักษาร่วมหลังผ่าตัดในมะเร็ง melanoma ที่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือระยะแพร่กระจายขณะนี้มีการศึกษาเพื่อใช้ nivolumab ก่อนการผ่าตัดแทนที่จะใช้หลังผ่าตัดในมะเร็งหลายๆชนิด นอกจากนี้ก็มีรายงานที่เพิ่งตีพิมพ์ไปเมื่อเร็วๆนี้เกี่ยวกับการใช้ยาแอนติบอดีในมะเร็งปอดชนิด NSCLC ระยะเริ่มแรกซึ่งให้ผลดี
ผลข้างเคียงที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน (immune-related adverse events) ที่สำคัญคือการอักเสบที่เกิดจากการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันมากเกินไปซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะได้ทุกชนิดแต่ที่พบบ่อยได้แก่ระบบผิวหนัง ทางเดินอาหาร ต่อมไร้ท่อ และตับแนวทางการจัดการกับผลข้างเคียงนี้คือการปรับขนาดยาที่ผู้ป่วยได้รับ การหยุดการรักษา หรือการให้สเตียรอยด์ แต่ในบางกรณีก็สามารถเกิดผลข้างเคียงที่ถาวรได้แม้จะมีโอกาสน้อยเช่นเบาหวาน (type 1 diabetes mellitus)
Professor Jeffrey Bluestone, PhD จาก University of California, San Francisco ประธานและ CEO ของ Parker Institute กล่าวว่าขณะนี้ Parker Institute กำลังพยายามศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน Bluestone กล่าวว่าเป้าหมายของงานนี้คือการเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะทางชีวภาพ ชีวเคมี และพันธุศาสตร์ ของการเกิดผลข้างเคียงนี้ เพื่อคาดเดาผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงและวิธีป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าว เขายังกล่าวอีกว่า “เราอาจจะทราบสาเหตุของโรคเบาหวานประเภทที่หนึ่งนี้เป็นผลพลอยได้จากการศึกษาในครั้งนี้อีกด้วย”
สุดท้ายนี้แม้จะมีอุปสรรคมากมายที่จำกัดประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากการใช้ยาแอนติบอดี Bluestone ก็เน้นย้ำว่ายาเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะปฏิวัติการรักษามะเร็ง และเขายังกล่าวอีกว่า “ขณะนี้เราไม่ได้อยู่ที่จุดเริ่มต้นของบทจบ แต่เรากำลังอยู่ที่จุดจบของการเริ่มต้นต่างหาก” คำกล่าวนี้เป็นของ Winston Churchill ในกรณีนี้แปลว่าการรักษามะเร็งส่วนใหญ่ซึ่งเดิมมีความหวังที่จะหายขาดต่ำ (<10% win) ขณะนี้เราเริ่มเห็นโอกาสที่จะต่อสู้กับโรคได้แล้ว มีตัวอย่างที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับการรักษาอื่นๆ (15-40% win) ซึ่งเปรียบเสมือนเรากำลังอยู่ที่จุดจบของการเริ่มต้น แต่เรายังไปไม่ถึงจุดเริ่มต้นของบทจบ นั่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้เอาชนะมะเร็งได้มากขึ้น (>80% win) ซึ่งยังต้องอาศัยความพยายามของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทุกคนต่อไป
โดย: M.J. Friedrich
จาก: https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/271951
ผู้ช่วยแปลบทความ: นสพ.สกุล เลิศสกุลเจริญ
__________________________________________________________________
อรรถาธิบายเพิ่มเติม
1. การปลด “เบรค” ของเม็ดเลือดขาว (checkpoint inhibitor) : กระบวนการหนึ่งตามธรรมชาติที่มีไว้เพื่อป้องกันเราไม่ให้เกิดโรคภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเองเกิดจากโมเลกุลหลายชนิดที่ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวหรือเปรียบเสมือนการใส่เบรคให้อยู่ในสมดุลมีชื่อโดยรวมว่า Checkpoint molecule ได้แก่ PD1, CTLA4 molecule ยาที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยับยั้งการทำงานของโมเลกุลเหล่านี้จึงชื่อ Checkpoint inhibitor การไปยับยั้งนี้จึงจะทำให้เม็ดเลือดขาวกลับมาทำงานได้ มีประโยชน์ในกรณีช่วยต่อสู้มะเร็ง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาจากภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเองได้ ซึ่งแพทย์ผู้รักษาต้องประเมินและให้การรักษาเป็นกรณีๆไป
2. CTLA-4 : เป็น Checkpoint molecule ที่สำคัญตัวหนึ่ง อยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาวชนิด T cell ซึ่งมี 2 ชนิดที่สำคัญคือ CD4+ และ CD8+ โมเลกุลนี้ทำหน้าที่หลักในการควบคุมการกระตุ้น T cell ในช่วงต้นให้อยู่ในสมดุล เป็นกลไกหลักในการป้องกันการเกิดภูมิต้านเนื้อเยื่อตนเอง ยาที่ยับยั้ง CTLA-4 ที่มีจำหน่ายแล้ว ได้แก่ ipilimumab (Yervoy)
3. PD-1 pathway : PD1 เป็น Checkpoint molecule ที่สำคัญตัวหนึ่งอยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาวชนิด T cell โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิด CD8+ ทำงานโดยการจับกับโมเลกุลอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า PDL1 ซึ่งจะอยู่บนเซลล์อื่นๆรวมทั้งบนเซลล์มะเร็ง กระบวนการนี้รวมเรียกว่า PD-1 pathway เป็นกระบวนการสำคัญในการควบคุมการทำงานของ T cell ในช่วงหลังและเป็นกลไกสำคัญที่มะเร็งใช้ในการหลบหลีกจากระบบภูมิคุ้มกัน ยาที่ใช้ยับยั้งระบบนี้มีหลายตัว ยาที่ยับยั้ง PD-1 ที่มีจำหน่ายแล้ว ได้แก่ pembrolizumab (Keytruda) และ nivolumab (Opdivo) ยาที่ยับยั้ง PD-L1 ที่มีจำหน่ายแล้ว ได้แก่ atezolizumab (Tecentriq), avelumab (Bavencio) and durvalumab (Imfinzi)
4. ตัวชี้วัดทางชีวภาพเพื่อคาดเดาผลการรักษา : เป็นการวัดหรือตรวจอะไรบางอย่างในสิ่งมีชีวิตเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ในที่นี้คือเพื่อใช้คาดเดาหรือทำนายผลการรักษา สิ่งนี้มีความจำเป็นและเป็นหลักการของการแพทย์เฉพาะบุคคลเพราะมนุษย์มีความแตกต่างกันมากและมีการตอบสนองต่อยาหรือการรักษาต่างกัน ดังนั้นตัวชี้วัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสารเคมีในเลือด การตรวจยีน หรือการตรวจชิ้นเนื้อ จะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการรักษามะเร็งด้วยแอนติบอดีที่มีราคาแพงมากหรือมีผลข้างเคียงสูงในผู้ป่วยบางราย เพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโดยใช้งบประมาณได้เหมาะสมมากที่สุด ไม่ต้องลองผิดลองถูก
5. tumor mutational burden (TMB) : คือจำนวนการกลายพันธุ์ในก้อนมะเร็ง มะเร็งแต่ละชนิดเกิดจากการสะสมของการกลายพันธุ์ต่อเนื่องมาจำนวนมาก จากสถิติการวิจัยมะเร็งบางชนิดมักมีการกลายพันธุ์ต่ำและบางชนิดก็มีการกลายพันธุ์สูง อย่างไรก็ตามมะเร็งชนิดเดียวกันในแต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกันออกไป เราจึงไม่สามารถบอกได้จากชนิดของมะเร็ง แต่ควรตรวจปริมาณการกลายพันธุ์จากก้อนมะเร็งของผู้ป่วยโดยตรง อย่างไรก็ตามวิธีการตรวจในปัจจุบันยังมีความซับซ้อน ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง และยังต้องอาศัยเวลาเพื่อพัฒนาให้เป็นการตรวจมาตรฐานที่สามารถตรวจได้ในโรงพยาบาลทั่วไปอีกระยะหนึ่ง
6. microsatellite instability-high (MSI-H) : เป็นการตรวจชนิดหนึ่งที่เป็นมาตรฐานในโรงพยาบาลแล้วคือการตรวจตัวชี้วัดทางชีวภาพที่เรียกว่า Microsatellite โดยปกติเราจะมียีนที่ช่วยซ่อมแซมการกลายพันธุ์ (mismatch repair gene) แต่ในก้อนมะเร็งที่มีความผิดปกติของยีนกลุ่มนี้ ก็จะทำให้ซ่อมแซมไม่ได้และเกิดการกลายพันธุ์ในอัตราที่สูงมากทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า microsatellite instability-high (MSI-H) ซึ่งสามารถตรวจได้ไม่ยากนัก โดยการย้อมชิ้นเนื้อเปรียบเทียบความแตกต่างของขนาด allele ของ microsatellite markers ระหว่างชิ้นเนื้อมะเร็งกับชิ้นเนื้อปกติ
7. TGF-beta : เป็นสารตัวหนึ่งที่หลั่งออกมากจากเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือจากเซลล์มะเร็งหรือจากเซลล์อื่นๆที่อยู่ในบริเวณก้อนมะเร็ง มีฤทธิ์สำคัญในการยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์จะพยายามยับยั้งหรือทำลายสารตัวนี้ในบริเวณก้อนมะเร็งให้ได้
8. การกระตุ้น CD40 : เป็นโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง แต่จะส่งสัญญาณในเชิงกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นหลัก ถ้ามีสัญญาณตัวนี้มากขึ้นก็จะทำให้มีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น
Leave a reply